รถยนต์ต่างประเทศ

เปิดฉากมอเตอร์โชว์แรกของปี…NAIAS 2013 (1)

แคดิลแล็ก ATS ได้รับเลือกให้คว้ารางวัล North American Car of the year
ในส่วนของรถเก๋ง
       บอกชื่อ NAIAS ออกไปหลายคนอาจจะไม่รู้จัก เพราะตามปกติแล้วเรามัก
จะเรียกมอเตอร์โชว์ตามชื่อเมืองที่จัด ฉะนั้นในเมื่อ NAIAS จัดที่ดีทรอยต์
คนส่วนใหญ่ก็เลยรู้จักชื่อดีทรอยต์ มอเตอร์โชว์ไปแทน ซึ่งนอกจากจะเป็น
1 ใน 5 มอเตอร์โชว์ที่ยิ่งใหญ่ระดับโลกแล้ว ยังถือเป็นงานโชว์รถยนต์งานแรกของปีอีกด้วย
   
       NAIAS เป็นชื่อเรียกที่เป็นทางการของดีทรอยต์ มอเตอร์โชว์
 ซึ่งย่อมาจาก North American International Auto Show
ซึ่งชื่อนี้ถูกนำมาใช้อย่างเป็นทางการครั้งแรกในปี 1989 เพื่อแสดง
ให้เห็นความเป็นสากลของตัวงานมากยิ่งขึ้น แทนที่จะเป็นงานปิดที่
เน้นการจัดแสดงรถยนต์ที่ขายเฉพาะในประเทศเพียงอย่าง เดียว
   
       แน่นอนว่าความเปลี่ยนแปลงในครั้งนั้นบวกกับขนาดตลาดที่ใหญ่ซึ่งมียอด
ขายรถยนต์จำนวนหลักสิบล้านคัน ทำให้ใครๆ ก็แห่มาที่สหรัฐอเมริกา
 และใช้เวทีที่นี่ในการเปิดตัวรถยนต์รุ่นใหม่ๆ ออกสู่ตลาด
   
       เหมือนอย่างกับปีนี้ เราได้มีโอกาสเห็นรถยนต์ใหม่ๆ มากมาย
 ทั้งแบรนด์สัญชาติอเมริกันเอง และจากฝั่งยุโรป และเอเชีย
ซึ่งหลายต่อหลายรุ่นเตรียมเปิดตัวขายในตลาดทั่วโลกด้วยเช่นกัน
   
       สำหรับงานในปีนี้มีขึ้นในวันที่ 14-27 มกราคมที่โคโบ
 ฮอลล์ซึ่งเป็นสถานที่จัดแสดงของงานมาตั้งแต่ทศวรรษที่ 1980
ส่วนสีสันและบรรยากาศของงานในปีนี้จะมีอะไรบ้าง มาติดตามชมกันได้เลย
ปอร์เช่ส่งคาเยนน์ เทอร์โบ เอส ที่มาพร้อมกับเรี่ยวแรงในระดับ 550
 แรงม้ามาลุยตลาดอเมริกาเหนือ
      
เมอร์เซเดส-เบนซ์ CLA สปอร์ตซีดานแบบขับเคลื่อนล้อหน้าพร้อมทำตลาดแล้ว กับราคาเริ่มต้นเพียง 38,732 เหรียญสหรัฐฯ หรือ 1.16 ล้านบาท
      
เชฟโรเลตเผยโฉมคอร์เว็ตต์ใหม่ในรหัส C7 ที่คัมแบ็คนำงานออกแบบ
ของรุ่นที่ 2 และ 3 ในชื่อสติงเรย์กลับมาประยุกต์ใช้
      
      
ออดี้ RS7 มาพร้อมกับความแรงแบบสุดๆ ของเครื่องยนต์
วี8 4,000 ซีซี ทวินเทอร์โบ 560 แรงม้า ซึ่งแล่นทำความเร็วสูงสุดถึง
304 กิโลเมตร/ชั่วโมง
      
บีเอ็มดับเบิลยูเผยโฉม Z4 รุ่นไมเนอร์เชนจ์
      
มินิ เพซแมน JCW แต่งสวยพร้อมความเร้าใจกับเครื่องยนต์
4 สูบ 1,600 ซีซี เทอร์โบ 218 แรงม้า
      
.ฮอนด้า Urban SUV ว่ากันว่าจะกลายร่างมาเป็น SUV
รุ่นใหม่ในคลาสซับคอมแพ็กต์ โดยจะใช้พื้นฐานเดียวกับแจ๊ซหรือฟิตรุ่นใหม่
      
      
โตโยต้า ฟลูเรีย นี่ก็เป็นอีกคันที่สะท้อนถึงงานออกแบบของ
รถยนต์ที่กำลังจะขึ้นไลน์ผลิตจริง โดยเป็นร่างจำแลงของ
โคโรลล่าใหม่ที่จะเปิดตัวในปีหน้า
      
      
จี๊ป แกรนด์เชโรกี ปรับโฉมกระตุ้นตลาดทั้งตัวธรรมดา และรุ่น SRT เครื่องยนต์วี8
      
MKC ต้นแบบทรงเอสยูวีระดับหรูรุ่นใหม่ของค่ายลินคอล์น
ในเครือฟอร์ดเปิดตัวออกมา พร้อมกับหน้าตาที่โฉบเฉี่ยวขึ้นจาก
รถยนต์แบบเดิมๆ ของค่ายนี้

Chevrolet Corvette C7 : ปลากระเบนคืนชีพ

       ชื่อของ American Muscle Car ซึ่งเป็นที่รู้จักของคนทั่วโลก
มีไม่กี่ชื่อ และที่สำคัญคือ จะมีสักกี่ชื่อที่ยังหลงเหลืออยู่ให้เห็นเป็น
ตัวตนที่สามารถสัมผัสได้ เพราะในยุคที่มีการเปลี่ยนแปลงอยู่ตลอด
เวลาทั้งสภาพเศรษฐกิจ และปัญหาเรื่องพลังงาน การที่ 
American Muscle Car คันไหนจะอยู่รอดได้ ย่อมไม่ธรรมดา
   
       Chevrolet Corvette คือ หนึ่งในผู้อยู่รอดที่สามารถสร้างชื่อเสียง
แห่งความเร้าใจตามแบบฉบับอเมริกัน ให้อยู่คู่กับคนทั่วโลกมานาน
รวมถึงตอนนี้ก็ครบ 5 รอบ หรือ 60 ปีแล้ว ซึ่งในตอนนี้ทางจีเอ็ม 
หรือเจนเนอรัล มอเตอร์ส บริษัทแม่ของเชฟโรเลตจัดการเผยโฉมใหม่ 
หรือโมเดลเชนจ์ของคอร์เว็ตต์ออกมาแล้ว และพร้อมทำตลาดในปลายปี 2013
       คอร์เว็ตต์ใหม่ มากับรหัส C7 พร้อมกับแนวคิดที่เรียกว่า 
The Return of Stingray ซึ่งใครที่เป็นแฟนของคอร์เว็ตต์คงทราบดีว่า 
Stingray หรือเจ้าปลากระเบนเป็นแนวทางหรือสไตล์การออกแบบ
ของคอร์เว็ตต์ที่ถูกนำมาใช้ กับรุ่นคูเป้ในเจนเนอเรชั่นที่ 2 หรือ C2 
เมื่อปี 1963 และถือเป็นคอร์เว็ตต์รุ่นแรกที่มากับตัวถังคูเป้หลังคาแข็ง 
เนื่องจากรุ่นแรก หรือ C1 นับตั้งแต่เริ่มผลิตขายในปี 1953 
จนถึงปีที่เลิกทำตลาดมีตัวถังเดียวแบบเปิดประทุน
   
       นอกจากนั้น เชฟโรเลตยังนำชื่อของ Stingray มาใช้
อย่างต่อเนื่องกับรุ่นที่ 3 หรือ C3 เพื่อสื่อถึงการสืบทอดเจตนารมย์
ทางด้านงานออกแบบที่ถูกสานต่อในด้านความ สปอร์ตและโฉบเฉี่ยว
ของเส้นสายที่ต่อเนื่องมาจากรุ่น C2 อีกด้วย ก่อนที่แนวทางนี้จะขาด
หายไปในรุ่นที่ 4, 5 และ 6 ก่อนกลับมาอีกครั้งในรุ่นใหม่ล่าสุดที่ถูกเผย
โฉมในงานดีทรอยต์ มอเตอร์โชว์ 2013 เมื่อกลางเดือนมกราคมที่ผ่านมา
      
       Mark Reuss ประธานของจีเอ็ม อมเริกาเหนือ กล่าวว่า การ
 ออกแบบของรุ่นใหม่ก็เหมือนกับรุ่นปี 1963 ในการได้รับอิทธิพล
ในด้านการสร้างสรรค์ของเส้นสายบนตัวถัง แต่เหนือชั้นกว่าด้วย

การนำเทคโนโลยีใหม่ๆ แห่งโลกยานยนต์มาแต่งเติมเสริมประสิทธิภาพ
ของให้กับคอร์เว็ตต์ใหม่ เพื่อตอบสนองทั้งในด้านสุนทรีย์ในการขับขี่ 
ความพึงพอใจในด้านภาพลักษณ์ และความเป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม
 รวมถึงความประหยัดน้ำมันที่ผ่านมาตรฐาน 26 ไมล์/แกลลอนของ 
EPA หรือ Environmental Protection Agency ของสหรัฐอเมริกาได้
   
       นอกจากนั้น Reuss เผยว่า คอร์เว็ตต์ใหม่ถือเป็นของใหม่เกือบ 
 100% และมีการแชร์พื้นฐานร่วมกับรุ่นที่แล้วเพียง 2 จุดเท่านั้น 
แต่ส่วนหลักๆ มีการเปลี่ยนแปลงใหม่ทั้งหมด ซึ่งก็รวมถึงโครงสร้างตัวถัง 
 แชสซีส์ ระบบกันสะเทือน เครื่องยนต์ และระบบส่งกำลัง
       เชฟโรเลต เผยว่าประเด็นหลักของตัวรถในแง่ของความ
เปลี่ยนแปลงที่น่าสนใจคือ การนำวัสดุที่มีน้ำหนักเบาอย่าง
คาร์บอนไฟเบอร์มาใช้ร่วมกับอะลูมิเนียม และแม็กนีเซียมใน
การผลิตชิ้นส่วนตัวถังและโครงสร้างตัวถัง เพื่อลดน้ำหนักให้กับตัวรถ
 โดยคาร์บอนไฟเบอร์ถูกนำมาใช้กับฝากระโปรงหน้าและหลังคา 
 ซึ่งแม้ว่าในรุ่นนี้จะมากับตัวถังคูเป้ แต่เฉพาะแผ่นหลังคาสามารถถอดออกได้ 
 มีการนำวัสดุแบบคอมโพสิตที่มีน้ำหนักเบามาใช้ในการผลิตกันชนหน้า ประตู 
หรือแผ่นตัวถังด้านท้ายของตัวรถ
   
       ขณะที่อะลูมิเนียมจะเป็นโครงสร้างหลักของเฟรมตัวถัง
 ซึ่งจะทำให้สามารถช่วยในแง่ของการกระจายน้ำหนักตัวถังด้าน
หน้าและหลังในแบบ 50-50% ซึ่งทำให้มีความทนทานต่อการบิด
ตัวเพิ่มขึ้นอีก 57% ขณะที่น้ำหนักลดลงอีก 45 กิโลกรัม เ
มื่อเปรียบเทียบกับรุ่นเดิม
   
       ในแง่ของการออกแบบนั้น เชฟโรเลต เผยว่า C7 มาพร้อมกับ
สไตล์ความปราดเปรียวที่ได้รับแรงบันดาลใจมาจากรุ่น C2 Stingray 
 โดยเฉพาะรูปทรงของตัวถังโดยรวม ซึ่งมีลักษณะที่แคบตรงตัวถังด้านหน้า 
 และเริ่มบานออกและมีความกว้างมากขึ้นสำหรับส่วนท้าย ซึ่งเมื่อมอง
จากทางด้านบนแล้วจะมีลักษณะคล้ายกับหัวลูกศร
       สำหรับเครื่องยนต์เป็นบล็อกใหม่ที่ยังมั่นใจได้ในความเป็น
 อเมริกัน เพราะว่าคอร์เว็ตต์ใช้เครื่องยนต์วางด้านหน้าขับเคลื่อนล้อหลัง 
และใช้ขุมพลังแบบวี8 เหมือนกับทุกรุ่นที่ผ่านมา
   
       บล็อกนี้เป็นของใหม่ในรหัส LT1 ที่มีความจุ 6,200 ซีซี 
 และติดตั้งเทคโนโลยีมากมายเพื่อตอบสนองทั้งความแรงและ
ความประหยัด เช่น ระบบจ่ายน้ำมันเข้าสู่ห้องเผาไหม้โดยตรง 
หรือ Di-Direct Injection ตามด้วยระบบควบคุมการทำงานของลูกสูบ 
หรือ AFM-Active Fuel Management ซึ่งจะมีการลดจำนวน
การทำงานลงเมื่อใช้ความเร็วคงที่เพื่อความประหยัดน้ำมัน
 และระบบวาล์วแปรผัน หรือ VVT
   
       กำลังที่ผลิตออกมาได้อยู่ที่ 450 แรงม้า และแรงบิดสูงสุด 
 62.1 กก.-ม. ซึ่งเมื่อเปรียบเทียบกับเครื่องยนต์ที่วางใน C6 
แล้วถือว่าแรงกว่า ด้วยแรงบิดที่มากกว่าถึง 6.9 กก.-ม.
 และสมรรถนะของเครื่องยนต์บล็อกใหม่ เทียบเท่ากับตัวแรงใน
รหัส LS7 ของคอร์เว็ตต์ Z06 ซึ่งใช้ขุมพลังวี8 7,000 ซีซี เลยทีเดียว
       ในส่วนของระบบส่งกำลังต้อง ถือว่าเป็นประวัติศาสตร์
หน้าใหม่สำหรับเกียร์ธรรมดา เพราะที่ติดตั้งในคอร์เว็ตต์ C7
 มากับแบบธรรมดา 7 จังหวะใช้ฟลายวีลแบบ Dual-Mass 
และคลัตช์คู่ ขณะที่อัตโนมัติเป็นแบบ 6 จังหวะพร้อมกับ
 Paddle Shift สำหรับเปลี่ยนเกียร์ขึ้น-ลง
   
       เมื่อน้ำหนักลดลงและจัดจ้านขึ้น การปรับเซ็ตในเรื่อง
ของช่วงล่างจำเป็นจะต้องมีตามไปด้วย โดยระบบ
แชสซีส์ของคอร์เว็ตต์ C7 ได้รับการผลิตจากวัสดุที่มีน้ำหนักเบาเพื่อลดสภาพ
 Unsprung weight เช่น ชิ้นส่วนปีกนกอย่าง Control Arm 
เมื่อเปลี่ยนมาใช้อะลูมิเนียมจะลดน้ำหนักได้ถึงข้างละ 4 กิโลกรัม 
 ส่วนแขนยึดของระบบช่วงล่างหลังสามารถลดลงได้ถึงข้างละ 1.1 กิโลกรัม
   
       ในด้านล้อแม็กมากับลายสวยและวงโตสะใจตามแบบฉบับรถสปอร์ต
 ซึ่งด้านหน้าเป็นล้อขนาด 8.5X18 นิ้ว และด้านหลังขนาด 10X19 นิ้ว 
แต่ถ้าจ่ายเงินเพิ่มสำหรับแพ็คเกจที่ใหญ่ขึ้นอย่าง Z51 Performance Package
 ก็จะได้ล้อขนาด 8.5X19 นิ้วที่ด้านหน้า และ 10X20 นิ้วที่ด้านหลัง
       นอกจากนั้นในส่วนของระบบเบรกและช่วงล่างก็มีการปรับเซ็ตตาม 
ไปด้วย เช่นเดียวกับการติดตั้งระบบ LSD แบบอิเล็กทรอนิกส์ หรือ 
e-LSD ซึ่งจะติดตั้งให้เฉพาะในรุ่น Z51 โดยจะสามารถปรับระดับการทำงาน
ของระบบได้ถึง 3 รูปแบบสอดคล้องกับสภาพการใช้งานอย่างเต็มที่
   
       สำหรับแฟนๆ ของคอร์เว็ตที่ต้องการสัมผัสกับความเร้าใจ
 อดใจรอกันอีกสักนิด เพราะถึงแม้ว่าจะมีการเผยโฉมให้เห็นแล้ว 
แต่คันจริงที่จะส่งให้กับลูกค้ายังต้องรออีกหน่อย เพราะ
จะเริ่มทำตลาดอย่างเป็นทางการในปลายปี 2013
 



Mercedes-Benz E-Class Coupe/Cabrio
 ถึงคราวสปอร์ตปรับโฉม
  รุ่น ซีดานและแวกอนยังไม่ทันวางขายดีเลย
ทางเมอร์เซเดส-เบนซ์ก์ขยับตลาดให้กับอี-คลาสอย่างต่อเนื่องทันที
 กับการเตรียมเปิดตัวรุ่นคุเป้ และเปิดประทุนในงานดีทรอยต์
 มอเตอร์โชว์ 2013 ที่จะมีขึ้นในวันที่ 14 มกราคมนี้
    
       เช่นเดียวกับ 2 ตัวถังมาตรฐานที่เปิดตัวไปก่อนหน้านี้ ในรุ่นคูเป้และเปิดประทุน
 ซึ่งแชร์พื้นฐานของตัวรถตั้งแต่ด้านหน้าจนถึงเสากระจกบังลมหน้าร่วมกัน
 จะได้รับการเปลี่ยนแปลงในเชิงรูปลักษณ์ทั้งด้านหน้า และหลังให้อิงจาก
การปรับโฉมครั้งล่าสุดของตัวถังซีดาน และสเตชั่นแวกอน
      
       นั่นหมายความว่าชุดไฟหน้าแบบฝั่งละ 2 ตัวตามสไตล์ New Eyes
 ที่ใช้กันมาตั้งแต่ปี 1995 จะถุกถอดออกไป และแทนที่ด้วยไฟหน้า
แบบดวงเหลี่ยมยาว แต่ภายในชุดโคมไฟมีการแบ่งช่องไฟแบบ LED
เอาไว้ 2 ส่วน และมีลวดลายของหลอด LED ที่แตกต่างจากตัวถังซีดาน
และสเตชันแวกอน เช่นเดียวกับกระจังหน้าและกันชนหน้า
ซึ่งก็มีการออกแบบใหม่เช่นเดียวกัน สำหรับด้านท้ายมีการออกแบบชุดไฟท้ายใหม่
เน้นสีสันและความล้ำสมัยมากขึ้น ส่วนกันชนท้ายเน้นความสปอร์ตภายใต้
แนวคิดใหม่ของการออกแบบที่เรียกว่า Wing Design
    
       ทางเลือกของเครื่องยนต์มีหลากหลายเช่นเดิม โดยเริ่มตั้งแต่รุ่นล่างสุดอย่าง
 E200 ซึ่งใช้เครื่องยนต์ 181 แรงม้า ไปจนถึงรุ่นท็อป E500 กับเครื่องยนต์วี8
ที่มีกำลังถึง 402 แรงม้า แถมด้วยเครื่องยนต์เทอร์โบดีเซลอีก 3 รุ่น
 ซึ่งยังไม่ระบุว่าจะมีรุ่นอะไรบ้าง โดยทุกรุ่นใช้เกียร์อัตโนมัติแบบ
 7G-Tronic Plus ในการส่งกำลัง
    
       นอกจากนั้นในรุ่นเบนซินยังเพิ่มความประหยัดด้วยระบบ Start/Stop
 ซึ่งจะดับเครื่องยนต์เมื่อจอดติดอยู่กับที่เพื่อช่วยเพิ่มความประหยัดน้ำมัน
 และลดการปล่อยไอเสียออกสู่สิ่งแวดล้อม
    
       ใครที่สนใจรูปลักษณ์ใหม่ของอี-คลา สทั้งตัวถังคูเป้
และเปิดประทุนอดใจรอกันอีกสักนิด เพราะหลังจากเผยโฉม
ที่งานในดีทรอยต์แล้วก็จะเริ่มทยอยทำตลาดในประเทศต่างๆ
 ทันที ซึ่งเมื่อไทยน่าจะเข้ามาขายประมาณปลายปีหน้า
      
      
      
      
      
      


BMW Z4 : ปรับโฉม เพิ่มเครื่องใหม่


      
       ในฐานะที่อยู่ในตลาดมานานที่สุดในบรรดาโรดสเตอร์
ระดับหรูที่มีอยู่ในตอนนี้ (ไม่นับออดี้ TT ที่ข่าวคราวเงียบมานาน) 
ถึงตอนนี้บีเอ็มดับเบิลยูจัดการขยับตัวเพื่อรับมือกับคู่ปรับในตลาด 
ด้วยการจับ Z4 มาปรับโฉม หรือไมเนอร์เชนจ์ เพิ่มความสดใหม่ให้กับรูปลักษณ์ 
พร้อมขยายทางเลือกใหม่ในรุ่น Entry Level
    
       นอกจากจะเป็นการปรับโฉมตามอายุตลาดเพราะ Z4 เปิดตัวขายมาตั้งแต่ปี 
2009 แล้ว ยังถือเป็นการขยับตัวเพื่อรับมือกับคู่ปรับอย่างเมอร์เซเดส-เบนซ์ SLK
 ใหม่ ไล่ไปจนถึงปอร์เช่ บ็อกสเตอร์ และจากัวร์ F-Type โดยตัว
ไมเนอร์เชนจ์ของ Z4 มาพร้อมกับหน้าตาที่สดใหม่ขึ้นจากการ
เปลี่ยนกันชนหน้า และขยายกระจังหน้าใหม่ให้ใหญ่ขึ้น 
เช่นเดียวกับด้านท้ายที่มีการเปลี่ยนลวดลายบนชุดไฟท้าย
 โดยหันมาใช้หลอด LED ตามสมัยนิยม
      
       สำหรับหลังคาแข็งแบบพับเก็บได้ด้วยระบบไฟฟ้าก็ยังมีให้ เหมือนเดิม 
โดยจะทำงานผ่านทางการกดปุ่มในห้องโดยสาร ซึ่งจะกางออกหรือพับเก็บได้
โดยใช้เวลาเพียง 19 วินาที และสามารถทำได้ในขณะที่รถกำลังแล่น 
แต่ความเร็วต้องไม่เกิน 40 กิโลเมตร/ชั่วโมง
    
       นอกจากหน้าตาแล้ว ในส่วนทางเลือกของเครื่องยนต์ก็มีการปรับปรุง
เพราะเพิ่มรุ่นย่อย 1.8i เข้ามา ซึ่งแม้ว่าจะใช้เครื่องยนต์ 2,000 ซีซี เทอร์โบ 
แบบเดียวกับรุ่น 2.0i แต่ทว่าก็ลดทอนความเร้าใจด้วยตัวเลขแรงม้าเพียง 
156 ตัวเท่านั้น ขณะที่แรงบิดอยู่ที่ 24.4 กก.-ม. ใช้เวลา 7.9 วินาที
ในการทำอัตราเร่ง 0-100 กิโลเมตร/ชั่วโมง และความเร็วปลาย 
220 กิโลเมตร/ชั่วโมง ขณะที่รุ่น 2.0i มีกำลังสูงสุด 184 แรงม้า แรงบิดสูงสุด 
27.5 กก.-ม.
      
      
       นอกจากนั้นในกลุ่มของเครื่องยนต์ 4 สูบยังมีอีกรุ่นให้เลือก คือ 2.8i
 ซึ่งก็ใช้เครื่องยนต์บล็อกเดียวกัน แต่ปรับบูสต์ เค้นกำลังเพิ่มขึ้นจนมีตัวเลขอยู่ที่
 245 แรงม้า แรงบิดสูงสุด 35.6 กก.-ม. ใช้เวลา 5.5 วินาที สำหรับอัตราเร่ง
จนถึงย่าน 100 กิโลเมตร/ชั่วโมง และความเร็วปลายถูกล็อกเอาไว้ที่
 250 กิโลเมตร/ชั่วโมง
    
       ถ้าอยากขยับขึ้นสูงกับเครื่องยนต์ซีซีเยอะ ลูกสูบแยะ
 ก็สัมผัสได้กับ 2 ทางเลือกของรุ่น 6 สูบเรียง ซึ่งใช้ขุมพลัง 
3,000 ซีซี เทอร์โบคู่ โดยในรุ่น 3.5i มีกำลังอยู่ที่ 306 แรงม้า
 และรุ่น is ม้าขยับขึ้นอีก 34 ตัว โดยแลกกับอัตราเร่งที่ต่างกันเพียง
 0.3 วินาที ซึ่งในรุ่น 3.5i อยู่ที่ 5.1 วินาที และ 3.5is อยู่ที่ 4.8 วินาที
       สำหรับเกียร์มีให้เลือกทั้งแบบธรรมดา 6 จังหวะ
 หรืออัตโนมัติ 8 จังหวะ ยกเว้นรุ่น 3.5is เป็นแบบเดียว 
 DCT 7 จังหวะ Double Clutch โดยรุ่นเกียร์ธรรมดามีขาย
เฉพาะรุ่น 1.8i, 2.8i และ 3.5i
    
       อย่างไรก็ตาม แม้ว่าเผยโฉมออกมาให้เห็นจริงแล้ว
 แต่การส่งมอบรถให้กับลูกค้าจะเริ่มขึ้นในเดือนมีนาคม 2013 
ซึ่งราคาของ Z4 ตัวปรับโฉมในอังกฤษตั้งเอาไว้ที่ 
27,610-45,795 ปอนด์ หรือราวๆ 1.38-2.28 ล้านบาท


 ข้อมูลจาก:http://www.manager.co.th/Motoring/ViewNews.aspx?NewsID=9560000000736

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น