วันอังคารที่ 26 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2556

รถต่างประเทศ

Chevrolet SS : พลิกโฉมด้วยสปอร์ตซีดานสุดเร้า 
 

       จากเดิมที่เป็นชื่อประกอบรุ่น เพื่อแสดงให้เห็นถึงความเร้าใจและ
ความแรงของรถยนต์รุ่นนั้นๆ ตอนนี้ คำว่า SS ของค่ายเชฟโรเลตได้ถูกอัปเกรด
และยกระดับขึ้นมาให้เป็นรุ่นรถยนต์แล้ว โดยเปิดตัวออกมาในสไตล์สปอร์ตซีดาน
 4 ประตู ที่พกม้ามาเต็มฝากระโปรงหน้า
  
       อย่างไรก็ตาม โปรเจกต์นี้ไม่ได้เป็นอะไรที่ถูกสร้างขึ้นมาใหม่ แต่เป็นงาน
ร่วมมือกันระหว่างบริษัทในเครือจีเอ็ม หรือเจนเนอรัล มอเตอร์ส อย่างเชฟโรเลต 
กับโฮลเด้นแห่งออสเตรเลีย ซึ่งนำรถยนต์รุ่น คอมโมรอด มาขยับเรี่ยวแรงและ
ความเร้าใจ ซึ่งทางโฮลเด้นเองก็มีขายโดยใช้ชื่อ คอมโมรอด เอสเอส วี
      
       สำหรับในกรณีของเชฟโรเลตงานนี้หยิบยืมมาทั้งคันและเปลี่ยน
 รายละเอียดเพียงบางจุด เช่น ไฟหน้า กระจังหน้า และกันชนหน้า 
รวมถึงโลโก้และชื่อรุ่น ก่อนที่จะนำมาเปิดตัวก่อนที่การแข่งขัน NASCAR 
รายการ Daytona 500 จะเริ่มขึ้นที่สนาม Daytona International Speedway
 หรือเพียง 3 วันหลังจากที่โฮลเด้นเผยโฉมคอมโมรอด เอสเอส วี ซึ่งรถยนต์
ทั้ง 2 รุ่นถูกพัฒนาบนพื้นตัวถังแบบขับเคลื่อนล้อหลังที่เป็น Global Platform 
 แบบเดียวกับที่ใช้ในการพัฒนารถยนต์รุ่น Caprice สำหรับสายตรวจ 
 และสปอร์ตรุ่น Camaro
  
       ในแง่ของการบาลานซ์น้ำหนักหน้าหลังถือว่ามากับจุดที่ได้ สมดุล 
เพราะทีมวิศวกรของเชฟโรเลตจัดการออกแบบให้ตัวรถมีการกระจายน้ำหนักด้านหน้า 
และหลังในระดับ 50-50% และมีจุดศูนย์ถ่วงต่ำ เพื่อความคล่องตัวในการขับขี่
 ขณะที่เครื่องยนต์ที่ใช้เป็นบล็อกวี8 6,200 ซีซี มีกำลังสูงสุด 415 แรงม้า 
และแรงบิดสูงสุด 57.3 กก.-ม.จับคู่กับเกียร์อัตโนมัติ 6 จังหวะในการขับเคลื่อนล้อหลัง
 และใข้เวลาเพียง 5 วินาทีสำหรับการขับจาก 0-96 กิโลเมตร/ชั่วโมง 
และน่าเสียดายที่ไม่มีเกียร์ธรรมดาให้เลือกใช้งาน
      
       ส่วนระบบกันสะเทือนจะเป็นแบบแม็คเฟอร์สันสตรัทที่ด้านหน้า 
และแบบ Trapezoidal Multilink ที่ด้านหลัง พร้อมกับล้อขนาด 
19 นิ้วซึ่งด้านหน้ามีขนาด 245/40 และด้านหลังมีขนาด 
275/35 มาให้เป็นอุปกรณ์มาตรฐาน เช่นเดียวกับดิสก์ไซส์ 335
 มิลลิเมตรพร้อมคาลิเปอร์แบบ 4 สูบที่ด้านหน้าจากเบรมโบ
  
       เห็นหน้าตาแล้วต้องอดใจรอกันอย่างเดียว เพราะเชฟโรเลต
จะเริ่มวางขายในตลาดอเมริกาและยุโรปช่วงปลายปี 2013 
 ส่วนใครที่อดใจรอไม่ไหวก็สามารถสั่งรุ่นพวงมาลัยขวา
ของโฮลเด้นมาขับไปพลางๆ ก่อนได้





Mercedes-Benz C63AMG Edition 507
:สุดเร้าใจเพิ่มม้า 50 ตัว

      
       สำหรับคนที่ชื่นชอบความเร้าใจแบบไม่เหมือนใคร ทางเมอร์เซเดส-เบนซ์
 มีตัวเลือกออกมาให้สัมผัสแล้วตอนนี้ กับเวอร์ชัน Edition 507 ของ C-Class 
แต่งดุดันรอบคันโดยอัปเกรดจากตัวแรง C63AMG และขยับเรี่ยวแรงด้วย
การเพิ่มปริมาณม้าในคอกอีก 50 ตัว
   
       ในเรื่องของชื่อรุ่น 507 ไม่ได้เกี่ยวข้องกับเหตุการณ์สำคัญอะไร 
 เป็นแค่การบ่งบอกถึงจำนวนแรงม้าที่อยู่ใต้ฝากระโปรง ซึ่งเครื่องยนต์วี8 6,300
 ซีซี แบบ NA ที่พัฒนาและผลิตโดย AMG ได้รับการปรับปรุงและ
เพิ่มเรี่ยวแรงจาก 457 แรงม้ามาเป็น 507 แรงม้า หรือ 373 กิโลวัตต์ ที่ 6,800 รอบ/นาที
 ขณะที่แรงบิดสูงสุดเพิ่มขึ้นมาเป็น 62.2 กก.-ม.ที่ 5,200 รอบ/นาที
      
       จำนวนม้าที่เพิ่มขึ้นเป็นผลมาจากการนำเทคโนโลยีการพัฒนา 
เครื่องยนต์ของสปอร์ตรุ่นใหญ่อย่าง SLS AMG พร้อมกับปรับปรุงในส่วน
ของชิ้นส่วนภายในเครื่องยนต์ทั้งลูกสูบแบบ Forged ก้านสูบและเพลาข้อเหวี่ยง
ที่ผลิตด้วยวัสดุที่มีน้ำหนักเบา ลดแรงเสียดทานของชิ้นส่วนที่เกิดขึ้นภายในเครื่องยนต์ 
 เช่นเดียวกับความทนทานต่อการใช้งานในระดับสูงสุด
   
       Ola Källenius ประธานบอร์ดบริหารของ AMG กล่าวว่า แม้ว่า C63AMG
 ซึ่งมาพร้อมกับเครื่องยนต์วี8 6,300 ซีซี จะได้รับความนิยมอย่างมากจากลูกค้า
 แต่ทว่าหลายคนก็ยังต้องการบางสิ่งบางอย่างที่มีมากกว่าทั้งในแง่สมรรถนะ 
 และความเร้าใจ นั่นก็เลยเป็นที่มาของ Edition 507 ซึ่งทาง AMG 
 ได้นำเสนอถึงความเร้าใจในการขับขี่ที่เพิ่มขึ้น เช่นเดียวกับความโฉบเฉี่ยว
ของรูปลักษณ์ทั้งภายนอกและภายใน
      
       รูปลักษณ์ภายนอกมีการหยิบยืมมากจากตัวแต่งพิเศษ Black Series 
เช่น ฝากระโปรงหน้าทรงสปอร์ต ซึ่งมีการเจาะช่องระบายอากาศ และผลิตจาก
อะลูมิเนียมเพื่อช่วยลดความร้อนสะสมภายในห้องเครื่องนยนต์ 
 ขณะที่ล้อแม็กเป็นลายใหม่มีขนาด 19 นิ้วทั้ง 4 ล้อ แต่ด้านหน้าใช้ยางขนาด 235/35R19
 และด้านหลังใช้ยางขนาด 255/30R19 ขยายขนาดดิสก์เบรกหน้า
พร้อมเปลี่ยนมาใช้วัสดุแบบ Composite แทนเหล็กหล่อ จานดิสก์มีขนาด
 360X36 มิลลิเมตร พร้อมชุดแต่งรอบคัน โดยจะมีขายครบทั้งตัวถังซีดาน 
แวกอน และคูเป้
   
       สำหรับสมรรถนะในการขับเคลื่อน แน่นอนว่าจะต้องมีความเร้าใจมากขึ้น
 โดยในรุ่นคูเป้ และซีดานใช้เวลา 4.2 วินาทีสำหรับการทำอัตราเร่งจาก
 0-100 กิโลเมตร/ชั่วโมง และ 4.3 วินาทีสำหรับรุ่นแวกอน 
ส่วนความเร็วสูงสุดถูกล็อกเอาไว้ที่ 280 กิโลเมตร/ชั่วโมง
 ซึ่งถ้าปลดออก ก็น่าจะไปได้อีก
   
       การเปิดตัวจะมีขึ้นครั้งแรก ในงานเจนีวา มอเตอร์โชว์ 2013 
ที่ประเทศสวิตเซอร์แลนด์ จากนั้นจะเริ่มวางขายในตลาดตั้งแต่วันที่ 8 เมษายน
 เป็นต้นไป โดยเริ่มที่ยุโรปเป็นแห่งแรก
      
      
Lexus  




IS : โฉมใหม่ สปอร์ตเร้าใจ

       เจนเนอเรชั่นที่ 3 ของสปอร์ตซีดานสายพันธุ์ IS 
  จากค่ายเล็กซัสเผยโฉมออกมาแล้ว พร้อมกับความโดดเด่นและเร้าใจ
ในด้านการออกแบบจาก Design Language ล่าสุดของเล็กซัส
 และเครื่องยนต์วี6 ที่ได้รับการปรับปรุงให้มีทั้งประสิทธิภาพการขับเคลื่อน
 พร้อมทั้งความประหยัดน้ำมันที่ดีขึ้นจากรุ่นเดิม
    
       สำหรับชื่อของ IS จากค่ายเล็กซัสเป็นที่รู้จักของคนทั่วโลกมานานตั้งแต่ปี 
1998 ในฐานะของสปอร์ตซีดานจากญี่ปุ่นที่อาจหาญต่อกรกับ 3 แบรนด์หรูจาก
เยอรมนีอย่างออดี้ เอ4, เมอร์เซเดส-เบนซ์ ซี-คลาส และบีเอ็มดับเบิลยู ซีรีส์ 3
       โดยรุ่นใหม่นี้เป็นสายพันธุ์ ที่ 3 ซึ่งเข้ามาแทนที่รหัส XE20 ที่เปิดตัวในปี 2006 และเป็น IS รุ่นแรกของเล็กซัสที่ไม่ได้ยืมรถยนต์แบบ JDM ของโตโยต้ามารีแบรนด์ขายในตลาดโลก
    
       ในรุ่นใหม่ยังคงความเป็นสปอร์ตซีดานขนาดกลางที่ให้สัมผัส 
แห่งความเร้าใจของภาพลักษณ์ โดยอิงงานออกแบบมาจากสไตล์
การดีไซน์ใหม่ของเล็กซัสที่นำมาใช้ครั้งแรกกับ รุ่น GS ซึ่งเน้นความ
โฉบเฉี่ยวของเส้นสายรอบคัน พร้อมกับกระจังหน้าขนาดใหญ่ 
 และยาวลงมาเป็นชิ้นเดียวกับช่องดักลมหน้าบนกันชนหน้า พร้อมกับไฟ
 Daytime Running Light ทรงตัว L
       Junichi Furuyama หัวหน้าวิศวกรที่รับผิดชอบการพัฒนา IS ใหม่กล่าวว่า
 ในรุ่นนี้มีการปรับปรุงโดยคาดหวังในเรื่องของการตอบสนองในด้านการสร้างความ
 พึงพอใจในการขับขี่เป็นหลัก โดยเฉพาะในแง่ของสมรรถนะในการขับเคลื่อน 
พร้อมกับผสมผสานความหรูหราและความสะดวกสบายให้มีความกลมกลืนและลงตัว
    
       ในรุ่นนี้จะทำตลาดด้วย 3 ทางเลือกของเครื่องยนต์ คือ IS250 
 ที่มาพร้อมกับเครื่องยนต์วี6 2,500 ซีซี และ IS350 ที่ใช้ขุมพลังวี6 
เหมือนกัน แต่ทว่ามีความจุขยับขึ้นมาเป็น 3,500 ซีซี และรุ่นไฮบริด IS300h 
 ที่จับเอาเครื่องยนต์ 2,500 ซีซี แบบ Atkinson-Cycle มาจับคู่กับ
มอเตอร์ไฟฟ้าเพื่อช่วยในการขับเคลื่อน
      
      
       อย่างไรก็ตาม เล็กซัสยังไม่เปิดเผยรายละเอียดของเครื่องยนต์ทั้ง
 3 แบบว่า มีตัวเลขแรงม้าและแรงบิดเท่าไร แต่ระบุเพียงว่า
จะมีกำลังมากขึ้นจากรุ่นเดิม และมีความประหยัดน้ำมันมากขึ้น
    
       ส่วนขุมพลังไฮบริดก็ยังไม่เปิดเผยว่าจะเป็นบล็อกวี6 มาจับคู่กับมอเตอร์ไฟฟ้า 
หรือยกชุดของคัมรี่ ไฮบริดที่เป็นเครื่องยนต์ 4 สูบ 2,500 ซีซี 
มาเปลี่ยนรูปแบบการวางให้ลงตัวกับรถยนต์ขับเคลื่อนล้อหลัง
       ในแง่ของระบบส่งกำลังจะมีให้เลือกทั้งแบบธรรมดา 6 จังหวะ
 หรืออัตโนมัติ 6 จังหวะขึ้นอยู่กับรุ่นเครื่องยนต์ ยกเว้นรุ่น IS350 
 จะมากับเกียร์อัตโนมัติ 8 จังหวะรุ่นใหม่ พร้อมโหมด SPDS-Sport Direct Shift 
และในรุ่นนี้ยังมีเวอร์ชัน F Sport ให้เลือกใช้ได้ โดยจะเป็นเวอร์ชันสปอร์ตที่ปรับแต่งทั้งระบบบังคับเลี้ยว ระบบช่สงล่างแบบ AVS-Adaptive Variable Suspension 
และระบบ VGRS-Variable Gear Ratio Steering มาให้ด้วย
 เช่นเดียวกับล้อแม็กขนาด 18 นิ้ว
    
       แม้เปิดตัวให้เห็นกันในงาน โชว์ที่ดีทรอยต์ แต่การทำตลาดของ IS 
ยังจะไม่เริ่มจนกว่าจะถึงช่วงกลางปีนี้ โดยจะเริ่มขายในสหรัฐอเมริกา 
ญี่ปุ่น และยุโรป ซึ่งตลาดแห่งหลังจะมีเครื่องยนต์เทอร์โบดีเซลทำตลาดด้วย


 ข้อมูลจาก:http://www.manager.co.th/Motoring/ViewNews.aspx?NewsID=9560000011156

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น